Yamaha Tricity 300 เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Tokyo Motor Show 2019 โดย Tricity 300 ถูกจัดให้อยู่ในรูปแบบรถสกูตเตอร์ขนาดกลาง โดยมีความแตกต่างจากสกูตเตอร์รุ่นอื่น ๆ ที่ขายอยู่ในท้องตลาดตรง Yamaha Tricity เป็นรถ 3 ล้อ ทั้งนี้อาจพูดได้ว่า Tricity 300 เป็นคู่แฝดกับ Yamaha Xmax 300 โดยความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดของ 2 รุ่นนี้คือ ระบบบังคับเลี้ยวล้อคู่หน้าเท่านั้น
เอกลักษณ์ของ Yamaha Tricity 300 สกูตเตอร์ 3 ล้อ แน่นอนว่าคือการวาง Format ของล้อ ที่ประกอบด้วย 2 ล้อหน้า กับ 1 ล้อ ทางด้านหลัง ทั้งนี้ในรหัสรุ่น Tricity มีทำตลาดอยู่ก่อนแล้ว แต่เป็นเครื่องยนต์ขนาด 125 ซี.ซี. และ 155 ซี.ซี. ซึ่งการมาของ Yamaha Tricity 300 ทำให้มีทางเลือกของขุมพลังมาถึง 3 ขนาด
โดย Yamaha Tricity 300 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 4 จังหวะ 1 ลูกสูบ ขนาด 292 ซี.ซี. SOHC 4 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ พร้อมเทคโนโลยี Bluecore ซึ่งจริง ๆ แล้วคือการที่ทาง Yamaha เลือกนำเครื่องยนต์ของ Yamaha Xmax 300 ยกมาใส่ใน Yamaha Tricity 300
Yamaha Tricity 300 (ซ้าย) Yamaha Xmax 300 (ขวา)
จุดขายสำคัญของ Yamaha Tricity 300 ก็คือเทคโนโลยีการบังคับเลี้ยวของล้อคู่หน้า LMW (Leaning Multi Wheel) ซึ่งถือว่าเป็นลิขสิทธิ์ของทาง Yamaha โดยเฉพาะ
ดูเพิ่มเติม
LMW (Leaning Multi Wheel)
เทคโนโลยี LMW คือระบบคุมการบังคับเลี้ยวล้อหน้าคู่ โดยเป็นการผสมผสานกลไกของ Parallelogram Link (แขนประคองคู่) กับ Cantileaverd Telescopic Suspension (กระบอกโช้คอัพกันสะเทือนแบบคู่) มาทำงานร่วมกันในล้อคู่หน้า
LMW ใน Yamaha Tricity 300 จะช่วยให้การเอียงรถแบบขนาน การบังคับแฮนด์สามารถทำมุมเอียงต่ำ พร้อมทั้งสามารถตีวงเลี้ยวได้กว้างอย่างคล่องตัว ซึ่งกลไกแขนประคองคู่ Parallelogram Link ไม่เพียงช่วยให้รถเอียงเป็นธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังรักษาระยะห่างความกว้างระหว่างสองล้อหน้าให้เท่ากันอีกด้วย สำหรับระบบกันสะเทือนอิสระช่วยให้การควบคุมรถได้อย่างมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยวรถ การกลับรถ ตลอดจนช่วยให้การขับขี่ในถนนขรุขระเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับการบำรุงรักษา Parallelogram Link จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนบูชตามระยะทางที่กำหนด (หากเข้าศูนย์ตามระยะเวลาก็จะได้รับการบริการในส่วนนี้ด้วย) และเมื่อรถวิ่งถึงระยะ 100,000 กิโลเมตร จะมีการเช็กตั้งศูนย์ตัวกลไกแขนประคองคู่นี้ด้วย
กระบอกโช้คอัพหน้า Cantileaverd Telescopic ที่ล้อซ้ายและขวาเป็นแบบ Tandem-Fork โดยตัวที่อยู่ด้านหลังจะมีสปริงทำหน้าที่เป็นตัวนำการทำงาน ส่วนโช้คอัพหน้าจะควบคุมรองรับแรงกระแทก ซึ่งสามารถรองรับระยะยุบตัวได้ถึง 90 มม.
สามารถคาดการณ์ได้เลยว่า ทาง Yamaha คงจะไม่นำเจ้า Yamaha Tricity 300 มาขายในตลาดบ้านเราอย่างแน่นอน เนื่องจาก Yamaha เคยนำ Yamaha Tricity 125 และ 155 มาทำตลาดในไทยเมื่อช่วงไม่กี่ปีก่อน ซึ่งยอดขายของรถตระกูล 3 ล้ออย่าง Tricity นี้เรียกว่าไม่ประสบความสำเร็จทางด้านยอดขายเลยก็ได้ จนสุดท้ายทาง Yamaha ต้องยอมถอดใจไปเป็นที่เรียบร้อย
เนื่องจาก Yamaha Tricity ซึ่งมีจำนวนล้อเพิ่มขึ้น 1 ล้อ ก็เท่ากับว่าต้องมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเพิ่มขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นค่ายางรถ, ผ้าเบรก, ลูกปืนล้อ อะไรเหล่านี้เป็นต้น ซึ่งถือว่าค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นได้กลายเป็นปัจจัยหลักของ Yamaha Tricity ที่ทำให้ไม่ได้รับความนิยมในไทย แม้จะให้ประสบการณ์ในการขับขี่ที่ต่างจากมอเตอร์ไซค์ 2 ล้อ ปกติอยู่มาก
นอกจากนี้ขนาดของตัวรถ Yamaha Tricity ยังเทอะทะแปลกตากว่ามอเตอร์ไซค์ 2 ล้อ โดยทั่วไปที่ขนาดเท่ากัน ทำให้การขับขี่ในเมืองดูยากลำบากกว่าเดิม ตามปกติการขับขี่รถจักรยานยนต์ในเมืองจำเป็นต้องอาศัยความคล่องตัว การซอกแซก เป็นหลักอยู่แล้ว การที่ขนาดของตัวรถไม่เอื้ออํานวยก็ถือเป็นเหตุผลอีกข้อหนึ่งสำหรับการเลือกซื้อรถจักรยานยนต์ใช้งาน
ทั้งนี้ในช่วงแรกที่ Yamaha ทำตลาด Yamaha Tricity ในไทย จะมีแค่รุ่น 125 ซี.ซี. เท่านั้น ซึ่งอาจไม่อาจเพียงพอกับตัวถังที่มีขนาดใหญ่ พร้อมทั้งมีแรงเสียดทานจากล้อทั้ง 3 ซึ่งมากกว่าปกติ ทำให้การเร่งแซงเวลาคับขันมีปัญหาเป็นอย่างมาก ส่งผลต่อทิศทางการทำตลาด Yamaha Tricity 300 ในไทยก็ว่าได้
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลของ Yamaha Tricity 300 ที่อาจมีความเป็นไปได้ว่า Yamaha จะนำกลับมาทำตลาดคือ ขนาดเครื่องยนต์ที่ใหญ่ถึง 300 ซี.ซี. ซึ่งทำให้ไม่ได้ถูกตีกรอบให้เป็นมอเตอร์ไซค์เครื่องยนต์เล็กเหมือนในรุ่นก่อน ๆ Yamaha Tricity 300 จะมีความจำเพาะเจาะจง เฉพาะกลุ่มมากขึ้น
สุดท้ายนี้อาจต้องรอลุ้นดูท่าทีของ Yamaha ประเทศไทย ก่อนว่าจะยอมกัดฟันเสี่ยงโยนหัวก้อยอีกสักรอบไหม สำหรับ Yamaha Tricity 300